นักวิจัย / ผลงานการวิจัย BIM100

ที่มา และผลงานการวิจัย

องค์การมหาชน และ บริษัทมหาชน ประสานนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับโลกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐเหนือจรดใต้ ร่วมปฏิบัติการ “BIM” (OPERATION “BIM”) เพื่อสุขภาพที่ดีถ้วนหน้าของประชากรโลก ส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนที่ใช้ผลไม้ และ ธัญพืชในประเทศไทย เป็นวัตถุดิบ และ เกิดมาตรการที่สามารถยกระดับราคาของผลผลิตทางธรรมชาติเหล่านี้อย่างถาวรต่อ เนื่อง OPERATION “BIM” (Balancing Immune) จะส่งผลให้ ประชากรโลกสามารถมีอายุยืนขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพดียิ่งขึ้น เพราะร่างกายสามารถป้องกันสิ่ง และ สารแปลกปลอมจากภายนอกที่ทำลายสุขภาพและ ก่อให้เกิดโรคร้าย ดังนั้นความสามารถของร่างกายในการป้องกันและ / หรือ ลดอาการผิดปกติในร่างกาย ซึ่งบั่นทอนสุขภาพนี้ เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสามารถปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่ในระดับน้อยเกินไปจนติดเชื้อ และ ถูกกระทบโดยสิ่งแปลกปลอมได้ง่าย และไม่อยู่ระดับมากเกินไปจนเกิดอาการผิดปกติ หรือโรคที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเอง (Auto-immune diseases) หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ เกิดภาวะภูมิบำบัด (Auto-immunotherapy) ที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันสมดุล (Immune Balance หรือ Immunomodulation) ขึ้นในร่างกาย  ภูมิบำบัดที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลจากการกระตุ้นการหลั่ง Interleukin-2 ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มากขึ้นได้อย่าง มหัศจรรย์ แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง และ เป็นผลจากการลดการหลั่ง Interleukin-1 ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่ทำให้เกิดการแพ้ภูมิตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง แต่ไม่ลดน้อยจนเกิดสภาวะไม่สมดุล   ความสามารถของร่างกายในการเพิ่ม Interleukin-2 และลด Interleukin-1 นี้ เกิดขึ้นได้จากการรับประทานผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM ซึ่ง ได้จากการผสมสารธรรมชาติสุดยอดสรรพคุณจากผลไม้และธัญพืชหลากชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการเสริมประสิทธิภาพ (Synergistic) โดยใช้ประสบการณ์ และ ความรู้ เกี่ยวกับสารธรรมชาติสุดยอดสรรพคุณเหล่านี้ ที่นักวิจัยสหวิชาการได้สะสมมาตลอดระยะเวลา 31 ปี ผนวกกับความรู้ปัจจุบันทันสมัยของชีวโมเลกุลที่มีประโยชน์ทางการแพทย์   ในวันนี้ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์จาก Operation “BIM” เราสามารถเพิ่ม Interleukin 2 ในร่างกายได้เองในปริมาณที่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง แล้วยังสามารถลดความผิดปกติที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเองได้อีกด้วย โดยการรวมพลังทางสติปัญญา ความรู้ความเชี่ยวชาญ และ ประสบการณ์วิจัยของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์จากหลากหลายสาขาวิชาการ เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์และ เป้าหมายเดียวกัน ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณ จาก องค์การมหาชน สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร และ บริษัทมหาชน Asian Phytoceuticals Public Co., Ltd. จึงทำให้เกิด OPERATION “BIM” อันเป็นกระบวนการรวมพลังครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ไทย  นักวิทยาศาสตร์ที่มีส่วนร่วมทำให้เกิด OPERATION “BIM” มีมากกว่า 25 คน และ ที่มีบทบาทสำคัญ คือ


   
1. รศ.ดร. วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม (นักวิจัยเคมีอินทรีย์) และ ภ.ญ. รศ.ดร. เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร (เภสัชกรและนักวิจัยจุลชีววิทยา) ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ทำงานการสอนและ การวิจัยในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มากว่า 20 ปีแล้ว ยังเป็นนักวิจัยชั้นนำของสถานวิจัยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในมหาวิทยาลัยเดียวกัน อีกด้วย
 
    2. ภ.ญ. รศ.ดร.อำไพ ปั้นทอง ( นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยา และ พิษวิทยาของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ) ผู้เชี่ยวชาญของ UNESCO ทางด้านการศึกษาฤทธิ์การต้านการอักเสบของสารสกัดจากสมุนไพรในเอเชีย และ ทำการสอนและการวิจัยในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มากกว่า 35 ปี

    3. ผศ.ดร. ศิริวรรณ องค์ไชย (นักวิจัยชีวเคมี) นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านผลของสมุนไพรต่อกระดูกอ่อนของศูนย์ความเป็นเลิศใน การวิจัยวิศวกรรมเนื้อเยื่อ ทำการสอนและการวิจัย ในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มากว่า 15 ปี

    4. ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา (นักวิจัยเคมีอินทรีย์และฤทธิ์ชีวภาพของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ) นักวิจัยผู้ศึกษาสารสกัดและฤทธิ์ทางชีวภาพของพืชสมุนไพรกว่า 200 ชนิด เป็นนักวิจัยรับเชิญของสถาบันวิจัยมะเร็ง ในประเทศเยอรมัน ทำการสอนและการวิจัยในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมเวลา 26 ปี ก่อนหันทิศทางชีวิตออกจากมหาวิทยาลัย จัดตั้งบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัย พัฒนาและพาณิชย์ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ปัจจุบันเป็น ประธานกรรมการ และ CEO ของ Asian Phytoceuticals Public Co., Ltd. 

 

จุดเริ่มต้นของ OPERATION “BIM” เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 เมื่อคณะนักวิจัยในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้รับคำแนะนำจากนักการภารโรง (นายเขียว พัฒจรินทร์) ว่าเปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใส สามารถใช้ทาแผล ทำให้แผลแห้งและหายอย่างรวดเร็ว คณะนักวิจัยจึงเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในการแยกสารที่ออกฤทธิ์จากเปลือก มังคุด ซึ่งหากเป็นประโยชน์ก็จะเป็นวิธีการกำจัดขยะจากเปลือกมังคุด ด้วยเหตุนี้การวิจัยเกี่ยวกับมังคุดตามหลักวิทยาศาสตร์สากลในลักษณะของความ ร่วมมือของนักวิจัยสหสาขาวิชาการ จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 8 ปี ก่อนจะสรุปได้ว่า สารจากมังคุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือสาร GM-1 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งการเจริญ และ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และ ระงับปวดในสัตว์ทดลอง โดยมีความแรงของฤทธิ์เป็น 3 เท่าของแอสไพริน ลดอาการแพ้ และ แก้ปวดในหนูทดลอง ต้านอนุมูลอิสระได้ดี สมานผิวได้อย่างรวดเร็ว และจากการทดสอบความปลอดภัย พบว่า สาร GM-1 เป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง และ ปลอดภัยกว่าสารธรรมชาติที่ให้รสเปรี้ยว (citric acid) ในมะนาวและส้ม ถึง 5 เท่า  จากข้อจำกัดทางด้านเงินทุน และ กฏเกณฑ์ที่ถูกกำหนดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ใช้ใน World Health Organization ทำให้การพัฒนา GM-1 ไปใช้เป็นองค์ประกอบของยาแผนปัจจุบันเป็นไปได้น้อยมาก คณะวิจัยจึงได้แต่เพียงนำ GM-1 เสริมกับสารสกัดจากธรรมชาติอื่น ๆ เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง สำหรับผู้มีปัญหาสภาพผิวเรื้อรัง จากสิวและอาการแพ้ จากการร่วมวิจัยพัฒนาและ ทดสอบกับ บริษัท Henkel KGa ของประเทศเยอรมัน จึงได้มีการผลิตสบู่ เจลล้างหน้า ครีมบำรุง ครีมกันแดด ครีมอาบน้ำ ครีมสิว ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญคือ สารสกัดจากเปลือกมังคุด GM-1 ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกของโลก โดยไม่มี ส่วนผสมของ Tannin ในเปลือกมังคุด อันอาจทำให้ผิวคล้ำได้อยู่ด้วย   ผลงานวิจัยของคณะนักวิจัยไทย ได้รับการเผยแพร่ทั้งในสื่อภายในประเทศและพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการ ทั่วโลก ก่อให้เกิดการวิจัยตามมาจากนักวิจัยหลายคณะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักวิจัยไทย ใน ค.ศ. 2003 บริษัทอเมริกันบริษัทหนึ่งได้นำผลงานวิจัยเหล่านี้ไปใช้ในการระบุ ประสิทธิภาพของน้ำมังคุดที่จำหน่ายในอเมริกา และ ขยายออกไปทั่วโลก เกิดการสร้างรายได้ (โดยการจำหน่ายในระบบขายตรงหลายชั้น) 40,000 ล้านบาทในเวลา 2 ปี ทำให้เกิดการแข่งขันในการผลิตและจำหน่ายอย่างกว้างขวาง แต่ทว่า ผลิตภัณฑ์น้ำมังคุดเหล่านี้ล้วนมีสีน้ำตาลเข้มเพราะใช้เปลือกมังคุดผสม ในเชิงวิทยาศาสตร์การผลิตลักษณะนี้เป็นการผลิตที่ง่ายเกินไป และไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะเปลือกมังคุดไม่ใช่ของบริโภคแต่ทิ้งเป็นขยะ จะใช้ต้มดื่มบ้างก็ต่อเมื่อใช้แก้อาการท้องเดิน นานๆ ครั้ง คนไทยตั้งแต่สมัยโบราณอาจจะมีประสบการณ์จนเกิดเป็นความรู้ว่า ไม่ควรบริโภคเปลือกมังคุดเพราะก่อให้เกิดโทษได้ ความจริงทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นเช่นนั้น เพราะในเปลือกมังคุดมีสารแทนนินอยู่ในปริมาณมาก หากบริโภคมากเกินไปจะทำให้ท้องผูก และเป็นพิษต่อตับ มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และ ลดการดูดซึมอาหารผ่านกระเพาะ อีกทั้งมีผลงานวิจัยระบุว่า แทนนินเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งในร่องแก้มและทางเดินอาหารได้ด้วย นอกจากนี้เปลือกมังคุดยังอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลงที่ใช้ในการพ่นผลมังคุดใน ระหว่างการปลูกอีกด้วย  

 

คณะนักวิจัยมังคุดของไทย ได้เฝ้าติดตามกรณีของน้ำมังคุดที่จำหน่ายอยู่ด้วยความเป็นห่วงว่า สักวันหนึ่งอาจมีผู้บริโภคน้ำมังคุดที่มีส่วนผสมของเปลือกมากเกินไปจนเกิด อาการไม่พึงประสงค์ได้ ประกอบทั้งมีข่าวเล่ากันว่า มีผู้บริโภคแล้วคันตามตัวบ้าง ท้องผูกบ้าง ท้องเดินบ้าง ดังนั้นในฐานะที่เป็นผู้จุดประกายเกี่ยวกับประโยชน์ของมังคุดจนเกิด ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ขึ้น คณะนักวิจัยจึงเริ่มตระหนักถึงหน้าที่ ที่จะต้องให้ความรู้แก่ผู้บริโภคให้พึงระวังถึงผลข้างเคียงอันอาจจะเกิดขึ้น และในขณะเดียวกันก็ควรที่จะต้องเป็นผู้ให้คำแนะนำว่า ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในลักษณะที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และ ไร้ผลข้างเคียง ควรจะเป็นเช่นไร  และในปี 2007 เมื่อราคามังคุดตกต่ำลงจนเกือบไม่คุ้มที่จะเก็บผลจากต้น สร้างความทุกข์ให้แก่ชาวสวนที่เฝ้า ฟูมฟัก รักษาผลมังคุดมาตลอดปีด้วยกำลังกาย และ กำลังทรัพย์ คณะนักวิจัยจึงเห็นว่า ถึงเวลาที่จะต้องนำความรู้ ผลงานวิจัย และ ประสบการณ์เกี่ยวกับมังคุดมาใช้ในการแก้ไขปัญหาชาวสวนพร้อม ๆ กับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า มีความปลอดภัยมากกว่าการดื่มน้ำมังคุดผสมเปลือกหลายเท่าตัว   ด้วยเหตุนี้ OPERATION “BIM” จึงเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเป็นกระบวนการต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จใน ปัจจุบัน  จากการวิจัยเพิ่มเติมพบว่า การใช้สารจากมังคุดบริโภคเพื่อให้เกิดภูมิสมดุลในร่างกายจะต้องใช้ในปริมาณ มากจึงจะแสดงประสิทธิภาพ และเมื่อใช้ต่อเนื่องเพื่อเสริมสุขภาพในระยะยาว อาจเกิดการสะสมมากจนกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system) ได้  คณะนักวิจัยจึงได้ใช้ศาสตร์ของการเสริมฤทธิ์ โดยนำสารธรรมชาติสุดยอดจากผลไม้และธัญพืชหลากชนิดผสมกับสาร GM-1 จนได้ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM หลังจากการทดสอบจนแน่ใจว่ามีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และไร้ผลข้างเคียงแล้ว จึงจดทะเบียนกับสำนักงานอาหารและยา เป็นแคปซูลผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร พร้อมทั้งได้จดสิทธิบัตรสูตรไว้ด้วย  ในขณะเดียวกัน คณะนักวิจัยได้ใช้ความรู้จากปริมาณสารที่มีอยู่ในแคปซูลผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นหลักในการผลิตน้ำมังคุดสกัดเข้มข้นที่ใช้แล้วได้ผลเช่นเดียวกัน โดยที่ไม่มีการเติมสีสังเคราะห์ ไม่เติมน้ำตาล ไม่มีสารกันบูด ไม่แต่งกลิ่นด้วยสารเคมี ไม่มีส่วนเปลือกซึ่งอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ไม่มีแทนนินสีน้ำตาลจากเปลือกในปริมาณมากจนเกิดผลข้างเคียง แต่สามารถช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สมดุล เช่นเดียวกับ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM และได้ทำการจดสิทธิบัตรกระบวนการผลิตไว้เมื่อกลางปี 2551 นี้  เพียงในระยะเวลา 1 ปี ที่มีผู้ทดลองใช้ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นแคปซูลเสริมอาหาร ผลที่ได้รับจากการใช้ของผู้บริโภค ได้สร้างความพึงพอใจให้แก่ทั้งผู้บริโภค และ คณะนักวิจัยอย่างมาก ประสิทธิภาพเอนกอนันต์ที่ได้รับรายงานจากผู้บริโภค และ ผลที่ได้จากการทดสอบตามหลักวิทยาศาสตร์สากลในห้องปฏิบัติการ และ ในอาสาสมัคร ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า OPERATION “BIM” จะเป็นปรากฏการณ์สร้างประโยชน์แก่ประชากรทั่วโลกอย่างสูงยิ่ง และ สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยโดยถ้วนหน้า ที่นักวิทยาศาสคร์ของไทยสามารถรวมพลังสติปัญญา ความรู้และประสบการณ์ในการคิด “นอกกรอบ” พัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีคุณภาพเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใคร ในโลกแห่งวิทยาการ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Operation BIM มีจัดจำหน่ายแล้วที่ รายการสุขและสวย โดย BIM100 โทร. 082 959 2695

 

จากการวิจัยของคณะวิจัยสหวิชาการจาก ม. สงขลานครินทร์ ม.เชียงใหม่ ม.มหิดล และบริษัท เฮงเคล เยอรมนี จำกัด ( Henkel KGa ) บริษัทจำหน่ายวัตถุดิบ
เครื่อง สำอางระดับโลก นำโดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา พบว่า เปลือกมังคุด
ประกอบด้วย สารธรรมชาติ GM-1 และสารอื่น จำนวนมากรวมทั้งแทนนินที่อาจทำ
ให้ผิวคล้ำเมื่อสัมผัสต่อเนื่อง แต่เมื่อสกัดสารแทนนินนี้ทิ้ง นำส่วนที่เหลือมาแยกต่อ ทำ
ให้บริสุทธิ์ นำไปทดสอบประสิทธิภาพปรากฎว่า หนึ่งในสารบริสุทธิ์ที่แยกได้คือ GM-1 มี คุณสมบัติเด่น 4 ประการคือ

(1) ระงับการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย ( Antibacterial ) ได้ดีเท่ากับยาปฏิชีวนะราคาแพง
(2) ต้านการอักเสบ ( Anti-inflammatory ) ได้เป็น 3 เท่าของแอสไพริน
(3) ต้านอนุมูลอิสระ ระงับการทำลายเซลล์ทำให้ผิวดูไม่แก่ก่อนวัย
( Anti-oxidant ) และสามารถ
(4) สมานผิว กระชับรูขุมขน ( Astringent ) ได้ดี

หลังจากที่ได้มีการทดสอบจนกระทั่งแน่ใจว่า GM-1 มีความปลอดภัยที่จะใช้ต่อได้
ในระยะยาว จึงนำ GM-1 มาผสมในเครื่องสำอาง แล้วทดสอบกับอาสาสมัครที่
สภาพผิวมีปัญหาเรื้อรัง ทั้งในประเทศไทยและเยอรมันอาทิ สิวอักเสบและผิวหยาบ
กร้านพบว่า สภาพผิวดีขึ้นตามลำดับ เมื่อใช้เจลและสบู่ล้างหน้า และกว่า 85% มี
สภาพผิวดีขึ้นมาก เมื่อใช้เจลบำรุงผิวร่วมด้วย ผลการวิจัยนี้ได้รับการพัฒนาอย่าง
ต่อเนื่องจนเกิดเป็นอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในประเทศไทย ที่ช่วยแก้ปัญหาของผู้มี
ปัญหาของผิวหน้าจากสิวและความหยาบกร้านทั้งชาวไทยและต่างชาติ

 

ศาสตราจารย์ทางโภชนาการ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล ได้รายงานผลการทดสอบใน อาสาสมัครต่อที่ประชุมสภาโภชนาการทางคลีนิคโลก* ถึงการทดสอบของกลุ่มสตรี ที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกมีอายุเฉลี่ย 40 ปี ให้รับประทานอาหารที่มีพลังงาน 1,000 แคลอรี่ต่อวัน และละลาย Garcinia atroviridis / HCA   กับน้ำ
ดื่ม ควรดื่มก่อนอาหารครั้งละ 1 ซอง วันละ 3 ครั้ง ส่วนกลุ่มที่สองมีอายุเฉลี่ย 35 ปี แนะนำให้รับประทานอาหารในลักษณะเดียวกัน   แต่ไม่ได้รับประทาน Garcinia
atroviridis / HCA ซึ่งผลปรากฎว่า สัปดาห์ที่ 8 ในกลุ่มผู้ที่ใช้ Garcinia atroviridis  /  HCA  มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน  คือน้ำหนักไขมันในร่าง-
กายลดลงจากเดิมถึง 5.5 กก. (16.2%) ความหนาของไขมันใต้ผิวหนังตามส่วน
ต่างๆ ลดลงดังนี้


การวัดสารชีวเคมีในเลือดก่อนและหลังการใช้อื่นๆ ไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้สรุปได้ว่า Garcinia  atroviridis / HCA  ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็น
อันตราย

ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา นักวิทยาศาสตร์ผู้ทำการพัฒนาสารสกัดจากผลส้มแขก Garcinia atroviridis / HCA กล่าวว่าการทดสอบครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สามซึ่งทั้ง
สามครั้งได้ผลสอดคล้อง   ยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้ได้อย่าง
มั่นใจ อย.สหรัฐอเมริกา อนุญาตให้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้อย่างเสรีในสหรัฐ-
อเมริกา  และ  Garcinia atroviridis / HCA  ที่คิดค้นได้นี้  จะมีคุณสมบัติ
แตกต่างจาก HCA ทั่วไป คือมีสัดส่วน HCA ในอัตราสูงที่สุดในโลกและละลายน้ำ
ได้ 100% ตลอดจนผ่านการสกัดสารระคายเคืองกระเพาะอาหารออกแล้ว
ต้นแขนด้านนอก 4.4 %
ต้นแขนด้านใน 24.1%
ใต้สะบัก 11.2 %
เอว 18.5 %
ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลดลง 23.2 %
และ สัดส่วนของโคเลสเตอรอลต่อ HDL ลดลง 9.3 %

 

 

 

Asian Nutraceutical Centre ( ANC ) ได้ร่วมกับนักวิจัยมหาวิทยาลัย มหิดล พัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อผิวหน้าสดใสด้วยครีม สูตรพิเศษ ไวท์เบอร์รี่ พีโอ (WITEBERRI PO) เพื่อช่วยป้องกันปัญหาจากการเกิดฝ้า รอยหมอง คลํ้า และช่วยให้หน้าขาวใสขึ้น

การพัฒนาเริ่มต้นจากการผสมสูตร WITEBERRI PO จากสารธรรมชาติหลายชนิดที่สามารถช่วยให้ผิวขาวใส แล้วทดสอบความปลอดภัยของ สูตร WITEBERRI PO จนมั่นใจว่าไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง จึงใช้ทดสอบกับอาสาสมัครที่ต้องการป้องกัน และแก้ปัญหาจากการเกิดฝ้า และรอยหมองคลํ้า ผลปรากฎว่าใน สัปดาห์ที่ 3 อาสาสมัครทุกรายมีสภาพผิวชุ่มชื้นขึ้น

ใน สัปดาห์ที่ 6 อาสาสมัครทุกรายมีสภาพผิวขาวใสขึ้น เมื่อใช้ต่อเนื่องไปถึง สัปดาห์ที่ 8 ไม่มีอาการระคายเคืองหรือปัญหาใดๆเกิดขึ้น และ หลังจากหยุดใช้ไป 2 สัปดาห์ ผิวหน้าก็ไม่กลับมาคลํ้าใหม่ ทำให้สามารถ สรุปได้ว่า ครีมผสม WITEBERRI PO ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ขาวใสขึ้นอย่างปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง และไม่มีผลสะท้อนกลับเมื่อหยุดใช้

งานวิจัยอย่างครบ วงจรนี้ได้รับการพัฒนา เป็นผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายอย่างแพร่หลาย ทั้งในและต่างประเทศ นับเป็นการใช้ผลงานวิจัยสร้างงานให้กับคนไทยที่น่าภูมิใจอีกผลงานหนึ่ง

 

 

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม


หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ โทร. 082 959 2695

Line ID : @bim100apco

 


  • ar6.jpg
    วิวัฒนาการล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ไทย Bim100เกี่ยวกับอาการภูมิแพ้ แพ้ภูมิตัวเอง โรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง คณะนักวิจัย Operation BIM (Bim100) ซึ่งประกอบด้วย 1. รศ.ดร.เสาวลักษณ์ พงษ์ไ...